

เมื่อแม่หมอเป็นมะเร็ง-ตอนที่-5
"เมื่อแม่หมอเป็นมะเร็ง"
ตอน5: ชีวิตต้องสู้ การกินอยู่ที่เปลี่ยนไป
หลังครบการรักษาหมอนัดการตรวจติดตามทุก 3 เดือน เราเริ่มฟื้นฟูร่างกายให้กลับสู่ภาวะปกติ ไปทำงาน ไปตลาด ออกงานสังคมและไปเที่ยวเริ่มจากไปพม่า พุกาม มัณฑะเลย์ ที่ติดค้างกันไว้ ชอบใจที่คุณหมอศิริชัย รู้ใจบอกไว้ก่อนออกจาก รพ.ว่า "อาจ๋าน ทำอะหยังได้ตามปกติเน้อ ไปแอ่วเตอะ ถ้าติดวันนัด บอกเลื่อนล่วงหน้ามาได้ครับ" (ในบรรดาหมอที่ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งของรพ.ลำปางทีมหมอนรีเวชจะได้ใจผู้ป่วยมากที่สุด ด้วยสัมพันธภาพที่ดีกับทุกคน ความจริงใจที่ให้ข้อมูล และยอมรับความเป็นตัวตนของผู้ป่วย) หลังได้ยาครบหัวยังโล้นอยู่สองเดือนต่อมาผมก็เริ่มขึ้น เวลาไปไหนจะสนุกกับการเลือกแฟชั่นหมวกถัก หมวกไหมพรม ผ้าโพกผมและวิกผมสลับกันไปงานต่างๆ ที่เพื่อนๆ จัดหาไว้ให้ใช้ เพิ่งรู้ว่าการมีผมช่วยเรื่องความอบอุ่นให้กับหัวของเรามาก ในตอนหน้าหนาว หมวกไหมพรมใบเดียวยังบางไป เวลานอนต้องสวมหมวกสองใบหรือเอาผ้าคลุมหัวอีกชั้นหนึ่งด้วยถึงจะไม่ไอหรือจาม หลังเกษียณว่างแล้วจึงนอนตื่นสายได้ ตื่นประมาณเจ็ดโมง ออกกำลังกายบนเตียงด้วยการโยคะ อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ใจจะนิ่งกว่าทำนอกห้องนอน จากนั้นจะลงไปรดน้ำต้นไม้ กวาดใบไม้รอบบ้านและถนนนอกบ้านเองทุกวัน รวมทั้งดูแลใต้ถุนบ้านด้วยใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่งแล้วแต่ปริมาณใบไม้ที่ต้องกวาด จึงจะกลับขึ้นมาบนบ้าน ส่วนใหญ่ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำหนึ่งแก้วตามด้วยผลไม้เช่น กล้วยน้ำว้าสองสามลูกหรือน้ำผลไม้ปั่นสองแก้วโตจนเกือบสิบเอ็ดโมงจึงทานอาหารกลางวันเป็นข้าวกล้อง/ข้าวเหนียวกับผัก ปลาหรือไข่ เลี่ยงและลดการกินหมูและไก่ลงไปเกือบ 90% จากเดิมก็ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ตอนเย็นประมาณหกโมง อาจมีน้ำผักที่เก็บจากในบ้านปั่นบ้าง น้ำเต้าหู้และข้าวกล้องหนึ่งทัพพีกับผัดผัก แกงหรือต้มสักสองอย่าง จะ กินกับข้าวมากกว่าข้าวเสมอ ซึ่งก่อนหน้านั้นเกือบทุกวันจะออกกำลังโดยปั่นจักรยาน หรือเดินรอบๆ หมู่บ้านหรือรดน้ำต้นไม้กวาดใบไม้ในบ้านอีกรอบสักครึ่งชั่วโมง ยกเว้นต้องไปงานตอนเย็น ชีวิตที่ช้าลงและไม่ต้องรีบเร่งจากภาระงานหลายด้านทำให้สุขภาพกายและใจดีขึ้น รับรู้จากการทักทายของคนรอบข้างว่า "อาจารย์สวยขึ้นนะ หรือหน้าใสขึ้นมาก " เพิ่งรู้ข้อดีหลังได้เคมีที่เกิดกับตนเองข้อแรกคือน้ำหนักลดลงมาอยู่ในเกณท์ปกติเพราะคุมอาหารและออกกำลังมากขึ้น ข้อสองคือผิวพรรณสดใส เม็ดตุ่มที่อุดตันตามรูขุมขนต่างๆลดลง ข้อสามคือ ผมที่ออกใหม่หลังหยุดยาสักสามเดือนสวยขึ้นดำนุ่มและหยักโศก ทำให้ได้ทรงผมใหม่ที่จ๊าบกว่าเดิมมาก หลายคนชอบใจทรงผมใหม่นี้ (เจอสาวเหลือน้อยฝรั่งมาทักในงานอำลาสถาบันและน้องในร้านอาหารมาขอถ่ายรูปว่าขอเอาไปเป็นแบบ จะไปตัดทรงนี้บ้าง เป็นปลื้มเลยเรา ) ช่วงสองสามเดือนแรกยังใส่หมวกหรือวิกผมเวลาออกงานแต่ช่วงหลังสี่เดือนไม่ต้องใช้แล้ว เพราะหลายคนบอกทรงผมเท่ห์มาก (เหมือนทรงผมของคุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์) ยิ่งมั่นใจมากขึ้น ใช้เยลช่วยเซทผมเวลาออกนอกบ้านเล็กน้อยเท่านั้นเองและเมื่อยาวขึ้นค่าตัดเล็มผมก็แสนถูกครั้งละ20 บาทเอง แต่ต้องบอกช่างก่อนด้วยนะคะว่าตัดตรงกลางให้ยาวกว่าด้านข้างสักหนึ่งเท่าตัว ไม่เช่นนั้นจะเป็นอีกทรงที่ไม่ใช่เป็นทรงสามเหลี่ยมตรงกลางศีรษะ (เพื่อนบว.ตั้งชื่อว่า ทรงปุ้มคำ ให้รักษาผมทรงนี้ไว้เพราะเหมาะสมกับคนเฒ่าอย่างเรา) ผมทรงใหม่ต้องสระทุกวันบางทีก็ใช้น้ำเปล่า บางวันก็ใช้แชมพูเล็กน้อยถ้าเหงื่อมากหรือลงน้ำทะเล แต่ปัจจุบัน กำลังใช้ดอกอัญชัญและมะกรูดเผาขยี้และหมักผมสักครึ่งชั่วโมงก่อนสระ ไม่ต้องการให้ผมดำแต่ต้องการให้สุขภาพผมดีจากการใช้สมุนไพรธรรมชาติ (สักสองสัปดาห์รู้สึกว่าผมดกหนา สีดอกเลาดูดีขึ้นมาก) บอกลาการใช้แชมพูเปลี่ยนสีผม ยาโกรกและย้อมผมไปเลย เพราะจะเพิ่มสารพิษให้ตับ ไตเสียหน้าที่หรือทำงานหนักมากขึ้นจากการขับสารเคมีต่างๆ ปกติช่วงหลังก่อนป่วย เคยใช้แชมพูโลแลนปิดผมขาวเพราะใช้ง่าย ไม่มีกลิ่น ที่สำคัญคือไม่แพ้และราคาถูกด้วย จึงขอบอกคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามและกลัวแก่เพราะผมขาวว่าให้ระวังลด หรือเลี่ยงการใช้น้ำยาดัดผมต่างๆด้วยเพราะคุณกำลังทำร้ายตับของตัวเองนะคะ เราสามารถช่วยฟื้นฟูตับ ไตได้โดยการงดใช้ยาต่างๆโดยไม่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวดพารา หรือยาปฎิชีวนะต่างๆ ต้องกินยาให้ครบดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย รวมทั้งการใช้ยาสมุนไพรต่างๆ ต้องไม่ทานต่อเนื่องยาวนาน ควรทานสามสัปดาห์และพักหนึ่งสัปดาห์เพื่อพักตับและไตด้วยเสมอ อาหารที่ควรงดคือของหมักดอง ที่มีสารก่อมะเร็งสูงเช่นปลาเค็ม หน่อไม้ดอง ปลาร้า(ของสำคัญเวลาทำแกงพื้นเมืองต้องใส่ให้น้อยลงหรือใช้อย่างอื่นแทนเช่นเกลือกะปิ เป็นต้น) เราเองขอเดินสายกลางไม่งดปลาร้าแต่ลดปริมาณการใช้ลงเพราะปลาร้าเป็นแหล่งแคลเซียมชั้นดี อีกอย่างที่สำคัญ คือการมีสติในการเลือกซื้ออาหาร การกินให้พอดี พอประมาณ กินอาหารทุกๆอย่างไม่เน้นอาหารอะไรที่ต้องกินทุกวันเพราะแม้แต่ถั่วเหลืองก็เป็นพิษได้ ๆกินผักก็ต้องรีบกินเมื่อยังสดและยังมีวิญญาณอยู่ จะได้คุณค่าอาหารดีกว่าอาหารที่แช่ตู้เย็นไว้นาน(ทำยากเพราะเราชอบซื้อหรือมีคนเอามาให้มากจนกินไม่ทัน) สิ่งที่ทำเพิ่ม คือปลูกผักไว้กินยอดเองในบ้านเช่นฟักข้าว เชียงดา เอาผลสุกมาทำน้ำฟักข้าว หรือเก็บใบมาทำอาหารรายวันแทนผักที่เคยซื้อจากตลาดก็จะเลือกจากแม่ค้าที่ปลูกผักและขายเอง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงในแต่ละวัน ดีที่สุดคือน้ำแร่ แต่ไม่เหมาะกับชีวิตจริงเพราะแพงเกินไป ไม่ควรกินน้ำอัดลม น้ำหวานเพราะมะเร็งชอบน้ำตาลมากนอกเหนือจากเนื้อสัตว์และไขมัน ต้องรู้ว่าอาหารหรือภาวะอะไรที่ทำให้ร่างกายเป็นกรดสูงจะยิ่งเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ดังนั้นต้องลดและเลี่ยงให้มากบ้านเราผักที่ขายส่วนใหญ่มีสารพิษสูง เนื้อสัตว์ก็ไม่ปลอดสาร การกินผักที่ปลูกเองจะปลอดภัยกว่า เราล้างผักผลไม้โดยแช่ผงโซเดียมไบคาบอเนตหรือใช้ผ่านน้ำก๊อกมากๆ และพยายามขจัดความเครียดต่างๆที่มากระทบใจโดยจัดการกับตัวปัญหา ให้เร็วและปล่อยวางบางอย่างให้มากขึ้น ทำชีวิตให้เรียบง่ายและลดความจุกจิกลง ตัวเราจะเบาขึ้น การเปลี่ยนนิสัยที่สำคัญ คือ สวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอนทุกคืนและขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรของเราด้วย จะทำให้ใจเราสบายและนอนหลับได้ดีขึ้นด้วย พยายามเลี่ยงข่าวสารที่เป็นความรุนแรงต่างๆก่อนนอนเพราะจะทำให้เรานอนไม่หลับและฝันร้าย การฟื้นฟูที่ยากที่สุดและใช้เวลาอีกนาน คือ อาการมือชาและเท้าชาเนื่องจากการทำลายประสาทส่วนปลายของเคมีบำบัด ใช้การบริหารนิ้วมือเช่นเดียวกับป้องกันนิ้วล๊อคและการบีบลูกบอลยางเล็กๆมีคนแนะนำให้ใช้ถุงใส่ถั่วเขียวบีบกำเป็นประจำแทนด้วย แต่เท้าจะเป็นปัญหามากกว่าชาปลายเท้าและเจ็บฝ่าเท้าขวาระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วนาง หนาเป็นปื้นแผ่นกลมๆขนาดหนึ่งนิ้วเจ็บเวลาเดินมากกว่าเท้าซ้าย ต้องเลือกรองเท้าใหม่ใช้หลายคู่ให้พอดีและนุ่มเท้าหรือมีปุ่มนวดเท้าด้วย พยายามสวมรองเท้าบนบนบ้านไม้หรือในครัวที่เป็นพื้นกระเบื้องที่เย็น แช่เท้าด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือเม็ดและทุบขิงสดใส่ลงไปด้วยสักสองนิ้ว(ความรู้จากแพทย์แผนไทยว่าจะลดการเกิดซีสท์ต่างๆได้เพราะร่างกายมีหยินมากเกินไป) ควรทำอาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง(ชอบแช่หน้าหนาวและวันที่อากาศเย็น)แต่ที่ง่ายกว่านั้นคือเปิดน้ำอุ่นให้จัด ฉีดรดฝ่าเท้านานๆหน่อยเวลาอาบน้ำ หลังอาบน้ำจะนวดเท้าด้วยครีมหรือโลชั่น กดจุดตรงที่เจ็บนานหน่อยจนเรอออกมาหลายๆครั้งทุกวันและเพิ่มการบริหารการทรงตัวป้องกันการหกล้มง่ายและการบริหารข้อเข่าให้แข็งแรงด้าย(เปิดหาดูในยูทูป)เราจะเลือกท่าเองตามชอบทำผสมกับโยคะที่ทำตอนเช้าหรือตอนเย็น(วางแผนไว้ว่าเวลาไปเที่ยว ต้องเดินมาก และเจ็บเท้ามาก ก่อนนอนอาจต้องใช้แผ่นกอเอี๊ยช่วยเพื่อจะไปเที่ยวต่อวันต่อไปได้) เรื่องสุดท้ายสำคัญมากอย่าลืมการมาตรวจตามนัด(follow up)ตามแผนการรักษาด้วยนะคะ หมอจะตรวจดูสุขภาพทั่วไป คลำต่อมน้ำเหลือง ตรวจภายใน(ถ้าเป็นมะเร็งมดลูก รังไข่)และตามผลแล็ปทูเมอร์มาคเกอร์ของมะเร็งรังไข่(CA125 ) ทุกสามเดือนในปีแรกและทุกสี่เดือนในปีที่สอง ถ้าครบสองปีไม่มีอะไรผิดปกติก็ถือว่าหายขาดแล้ว หากมีการกลับมาของมะเร็งอีกเป็นอีกก็ถือว่าเป็นโรคใหม่ ความยากของการดูแลรักษาโรคมะเร็งระยะที่หนึ่งและสอง อยู่ที่วินัยในการดูแลตัวเองไม่ให้โรคกลับซ้ำ ต้องทำให้มีสุขภาพแข็งงแรง มีภูมิต้านทานที่ดี หาทางสายกลางในการดำรงชีวิตปกติของเราให้ได้นานที่สุด อยากกินอะไรต้องมีสติในการกิน กินพอประมาณ อยากเที่ยวต้องประมาณกำลังและเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยนะคะ แม้ต้องทำงานอะไรก็ต้องระวังเรื่องความเครียดและไม่หักโหมงานด้วยค่ะ
บทส่งท้าย
อยากจะบอกทุกคนว่าเมื่อโรคมะเร็งมาเยี่ยมเยือนเราเมื่อไรก็ตาม แสดงว่าเราต้องมีจุดอ่อนให้เขาเข้ามาได้ง่ายแล้ว ต้องแก้ไขจุดอ่อนนั้น จงตั้งสติรับมือกับเขาและอยู่กับเขาให้ได้ ทางกายให้หมอที่เราไว้ใจและเชื่อถือได้เยียวยาตามความเหมาะสมแต่อย่าให้คุณภาพชีวิตของเราแย่เกินไป ทางใจเราต้องหาทางเยียวยาตนเองให้เร็วที่สุด อย่าให้จิตตก ใจท้อ และหมดหวัง เราต้องมีชีวิตอยู่มีความหวังเสมอ หวังที่จะหายจากโรค หรือไม่ทรมานจากโรค อยู่เพื่อคนที่เรารัก และคนที่รักเรา ที่สำคัญที่สุดคือการอยู่อย่างมีคุณค่ามากขึ้น ไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคม ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำงานอดิเรกที่ชอบ และแบ่งเวลาทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นและสังคมบ้างตามศักยภาพของเรา แค่นี้ชีวิตของเราก็เป็นสุขแล้ว สุขจากการรู้จักพอเพียงและการให้ไงคะ